Saturday, November 7, 2015

[เรื่องเสียวๆของสาวใหญ่] เล่ห์สวาทเพลิงราคะ ตอน 19

เล่ห์สวาทเพลิงราคะ ตอน 19
20141228023546399
ขณะที่อรอุษากำลังนั่งซ้อมเปียนโนอยู่อย่างเหงาๆ ใบหน้าไม่ค่อยสบายใจ เสียงเรียกสายโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ก็ทำให้เด็กสาวรีบหยิบขึ้นมา และเมื่อเห็นเบอร์สายเรียกเข้า เธอก็ยิ้มหวานรีบรับสายอย่างดีใจ
“พี่นุช..เป็นไงบ้างคะ”
เสียงโอดครวญดังแว่วเข้ามาอย่างละห้อยละเหี่ย
“โอ๊ย…เนื๊อย..เหนื่อย…นี่ษารู้ไหม…ทางกองประกวดพาพวกเราไปทัวร์วัด…ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า…ไปนั่งยิ้มรับฟังบรรยายเกี่ยวกับการรณรงค์เรื่องป
ราบปรามยาเสพติด…โอ๊ย…จิปาถะ…กว่าจะมาถึงโรงแรม…ขาแทบขาด…ยังไม่ทันจะได้พักเลย…กองประกวดก็พาเข้ากิจกรรมแนะนำตัว…รู้จักเพื่อนใหม่อีก…ตอนนี้
เลยกำลังนอนพุงอืดอยู่นี่…เพราะตอนหัวค่ำหิวจัดกินข้าวไปสองจานแน่ะ…”
ถึงแม้กำลังอยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยสบายใจแต่อรอุษาก็อดหัวเราะไปกับคำบ่นเป็นสายขบวนรถไฟยาวเหยียดของพี่สาวไม่ได้ ก่อนที่อรนุชจะถามมาว่า
“แล้วษาล่ะ…วันนี้เป็นไงบ้าง”
“หลังจากแยกกับพี่นุช…ษาก็ไปซัมเมอร์แคมป์ตามปกติค่ะ…ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ…พอเลิกตอนบ่ายแก่ๆ ก็กลับมาบ้านเลย…ตอนที่พี่นุชโทรมา..ษากำลังเล่นเปียนโนอยู่”
“ดีจ้ะ…หาอะไรทำเพลิน…จะได้ไม่เหงา…พรุ่งนี้ตามโปรแกรมเขาจะให้พวกเราไปร่วมกิจกรรมปลูกป่า…โอ๊ย…มีหวังขาลากกลับมาอีกแหง๋ๆ…”
จากนั้นอรนุชก็ชวนคุยแจ้วๆ ด้วยความตั้งใจจะช่วยให้น้องสาวคลายเหงาไปบ้างอีกพักใหญ่ ก่อนจะตบท้าย
“เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะโทรมารายงานษาใหม่ก็แล้วกัน…ง่วงแล้ว…ตาจะปิดให้ได้…ขอนอนก่อนนะ”
ความจริงอรอุษาอยากฟังเสียงพี่สาวไปนานๆ กว่านี้ แต่ก็พูดเสียงอ่อนเบา
“ค่ะ..หลับฝันดีนะคะ”
“จ้า…ษาก็เหมือนกันนะ”
…………………
ในพื้นที่ที่กินแดนติดต่อกันอย่างกว้างใหญ่นับจากบริเวณสวนไม้สัก ตลอดมาจนถึงที่จัดทำเป็นรีสอร์ทเล็กๆ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนชมสวนป่าธรรมชาติ เลยไปจนจรดแนวเทือกเขาอันเขียวชอุ่ม ปางไม้ “ห้วยสัก” แห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้เข้ามาพักได้สม่ำเสมอตลอดปี
ในบริเวณส่วนหน้าของอาคารที่ทำหน้าที่เป็นสำนักงานรับรองนั้น ตอนนี้มีไฟเปิดสว่างไสว มีเสียงคนดังจอแจ เพราะกำลังตระเตรียมความพร้อมรับงานพิธีในวันพรุ่งนี้
ในเวลานั้นชายฉกรรจ์ร่างเกร็งหน้าตอบ เดินเลี่ยงๆ กลุ่มคนออกไปยืนในบริเวณมืดสลัว สายตากวาดไปมาจนแน่ใจว่าไม่มีคนแล้วจึงค่อยเอ่ยเบาๆ
“ครับ…พ่อเลี้ยง….”
เสียงปลายสายดังต่อเนื่องตามติดมา ชายฉกรรจ์รับฟังอย่างเงียบๆ จนกระทั่งกล่าวพึมพำ
“ถ้าอย่างนั้น…ผมก็คงจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”
“ไม่เป็นไร..ไอ้คำ…กูรู้กว่าที่มึงแฝงตัวเข้าไปได้ไม่ง่าย…แต่กูตัดสินใจแล้ว…เอาตัวนังนั่นมาให้ได้…เข้าใจไหม”
เสียงกระด้างที่ดังขึ้นมา ทำให้ชายที่ถูกเรียกว่าคำรีบรับคำอย่างนอบน้อม
“ครับ พ่อเลี้ยงผมเข้าใจ”
“แค่นั้นแหล่ะ…”
ปลายสายเงียบไป พร้อมๆ กับเสียงผ่อนลมหายใจยาวของชายฉกรรจ์ ก่อนที่จะมีเสียงทักดังมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังหอบหิ้วลังไม้มาหลายลัง
“อ้าว…พี่คำทำไมมาอยู่มืดๆ…”
ชายฉกรรจ์ทำทีเป็นหัวเราะ แล้วเดินกลับไป ช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นแบ่งลังไม้มาถือ
“ไม่มีอะไร…แค่มาพักดูดบุหรี่ตัวหนึ่ง”
จากนั้นคำก็เดินแทรกปะปนเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานโดยปราศจากท่าท่ที่ผิดปกติแม้แต่น้อย
……………….
เสี่ยทองกับเสี่ยคิ้มหัวเราะร่าขณะที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกับหญิงสาวที่สวยบาดตาบาดใจถึงสองคน สายตายิบหยีของเสี่ยมากราคะทั้งสองนั้นต่างจับจ้องไปยังพริตตี้สาวเป็นพิเศษ เนื่องเพราะรู้ว่าสาวสวยอีกคนหนึ่งถูกตีตราจองเอาไว้แล้ว ริมฝีปากปากหนานั้นต้องแลบลิ้นเลียปากอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นฐิติพรรณที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาอันรัดรึงอวดส่วนสัดที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ้มแย้มหัวเราะคิกๆ ดวงตาพราวไปด้วยประกายตาแห่งความร้อนแรง
ปากงามจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่เอิ่บซ่านไปด้วยพันซ์สีสดนั้นแย้มเยื้อน กรีดกรายยั่วเย้าบริหารเสน่ห์อันล้นเหลือของเธออย่างเจนจัด เสียงอ่อนหวานไพเราะที่เอ่ยถามเกี่ยวกับธุรกิจการค้าของสองเสี่ย พร้อมกับการฉลาดพูดในการเอาใจชมเชย ก็ทำให้สองเสี่ยใบหน้าอิ่มเอิบ อ้าปากหัวเราะไม่หยุด
เสี่ยอ้วนหัวเราะพุงกระเพื่อมเมื่อว่า
“ผมน่ะเสียดายจริงๆ ที่รู้จักน้องไอซ์ช้าเกินไป…ไม่อย่างนั้นจะต้องขอแรงน้องไอซ์ไปช่วยเป็นพรีเซ็นต์เตอร์การประชาสัมพันธ์โรงแรมของผมแน่นอน”
ความจริงอายุของเสี่ยอ้วนเป็นพ่อของพริตตี้สาวได้อย่างสบาย แต่กลับเรียกเด็กสาวว่าน้องอย่างไม่กระดากปาก ซึ่งเด็กสาวก็ไม่ได้แสดงทีท่าที่ขัดเขินกับคำเรียกนั้นแต่อย่างใด ยกมือไหว้เสี่ยทองอย่างอ่อนหวาน ฉีกยิ้มกรีดกราย
“โธ่…เสี่ยขา…ขอแค่ให้ไอซ์ได้มีโอกาสรับใช้เสี่ยในอนาคต…ไอซ์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างที่สุดแล้วค่ะ…”
เสี่ยคิ้ม ใบหน้าที่ไว้เคราคางแพะ ยิ้มย่องว่า
“ตอนกลางปีนี้…จะมีงานแสดงเครื่องประดับอัญมณีครั้งใหญ่…ผมขอจองน้องไอซ์มาเป็นแบบเดินให้ชุดเครื่องมรกตที่ผมกำลังสั่งทำเพื่องานนี้โดยเฉพาะด้วยนะค
รับ…”
ฐิติพรรณยิ้มหวาน พนมมือไหว้เสี่ยคิ้ม และรินเหล้าและโซดาเติมให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ ใบหน้าของเสี่ยตัณหากลับนั้นเบิกบานจนแย้มยิ้มออกมากว้างขวาง ดวงตาร่านระริกมองดูอกอูมของฐิติพรรณแบบไม่กระพริบ
ซึ่งเด็กสาวผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์อันรัดรึงใจ ยิ้มหวานทำเป็นไม่สนใจกับดวงตากระหายราคะนั้น เธอซึ่งเมื่อก่อน…ก่อนที่จะสูญเสียทุกอย่างไปให้เดนนรกพวกนั้นยังไม่เคยกลัวสายตาอันแสดงความกระหายอยากของผู้ชายที่คิดจะครอบครองร่ายกายของเธอ…นับประสาอ
ะไรกับตอนนี้…ดังนั้นดวงตาคู่งามของฐิติพรรณจึงยั่วเย้าเป็นประกายพราวสนุก เย้าอารมณ์ของสองเสี่ยจนตัวสั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกเสน่หาในตัวของเด็กสาว
ขณะที่พริตตี้สาวกำลังสนุกสนานอยู่กับวงสนทนาระหว่างเธอกับสองเสี่ย ในเวลานั้นหญิงสาวที่สูงวัยกว่ากลับนั่งดื่มเงียบๆ นานๆ ทีจะยิ้มรับหัวข้อที่แวะเข้ามายังเธอเป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งตะกอนที่ตกค้างนิ่งอยู่ในก้นบึ้งแห่งความรู้สึกกำลังถูกคุ้ยออกมาจนฟุ้งซ่านเพราะการประจันหน้ากับอดีตคนรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซึ่งตลอดเวลานั้นอาการของคันธรสอยู่ในการสังเกตสนใจของเสี่ยทองโดยตลอด ซึ่งสมองของเสี่ยร่างอ้วนกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นานาประการ นัยน์ตายิบหยีนั้นวูบวาบต่อเนื่อง
ในเวลานั้นเองที่ร่างกำยำใหญ่โตของเสี่ยเซี้ยงเดินเข้ามาภายในห้อง VIP อย่างยิ้มแย้ม เสี่ยหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อแลเห็นสมาชิกแปลกหน้าที่กำลังนั่งหัวเราะเสียงใสอยู่ร่วมโต๊ะ
คันธรสเบิกตากว้างนิดหนึ่ง หญิงสาวไม่คิดว่าเสี่ยเซี้ยงจะมา จึงผุดลุกขึ้นรับด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ย..มาด้วยหรือคะ”
ร่างที่เดินเข้าแนบสนิท ใบหน้าของคันธรสที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ ทำให้ฐิติพรรณจับตามองอย่างพิศวง ไม่อยากเชื่อว่าชายตรงหน้าจะเป็นคู่ควงคนปัจจุบันของหญิงสาวที่สวยและเฉิดฉันอย่างพี่รส
ดวงตาของเสี่ยเซี้ยงหันมามองพริตตี้สาวด้วยคำถาม คันธรสก็แย้มยิ้มแนะนำว่า
“นี่ไอซ์ค่ะ…เพื่อนรุ่นน้อง…เขาสนิทกับรสมาก…”
ฐิติพรรณเก็บกักอาการที่ประหลาดใจนั้นไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มอย่างน่ารักโดยไร้ร่องรอย พนมมือไหว้เสี่ยโฉดอย่างอ่อนหวาน แนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักเสี่ยค่ะ…”
เสี่ยเซี้ยงหัวเราะรับไหว้ และจากนั้นก็เข้าร่วมวงสนทนากันอย่างครึกครื้น คราวนี้ด้วยจริตสาวพราวเสน่ห์คันธรสไม่ได้มีวี่แววหรืออาการผิดปกติเหมือนเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด ร่วมกันกับพริตตี้สาวยิ้มหวานหัวเราะเสียงใสไปกับวงสนทนาอย่างกลมกลืน
เสี่ยเซี้ยงที่มองตาเสี่ยอ้วนเจ้าของสถานที่อย่างมีนัย ซึ่งเสี่ยทองก็ฉีกยิ้มกล่าวว่า
“เสี่ยเซี้ยงเขาหวงคุณรสแค่ไหน…แค่ผมหลุดปากไปนิดเดียวเท่านั้นว่าคุณรสเผอิญเจอคุณปานเทพเพื่อนเก่า…เสี่ยเขาก็รีบมาหาทันที…”
ใบหน้างามของคันธรสมีร่องรอยผิดปกติปไปแว่บหนึ่ง ก็จะยักไหล่กล่าวเสียงอ่อนหวานกับเสี่ยเซี้ยง
“ก็แค่คนรู้จักน่ะค่ะ…รสไม่ได้สนิทอะไรกับเขานัก”
แต่ดวงตาคู่งามที่กำลังเก็บอาการมันฟ้องอารมณ์ภายในให้กับเสี่ยโฉดอย่างชัดเจน สายตาของเสี่ยเซี้ยงจึงมีประกายวูบขึ้นมา หันไปมองใบหน้าของฐิติพรรณที่กำลังระเรื่อไปด้วยฤทธิ์ของพันซ์สีสด ก็นึกในใจ
นังเด็กคนสวยคงจะรู้อะไรดีๆ…สงสัยต้องตะล่อมถามจากนังไอซ์นี่
เมื่อคิดตกลงใจได้ดั่งนั้น เสี่ยเซี้ยงก็แค่อาศัยรอเวลา ในที่สุดเมื่อคันธรสขอตัวไปห้องน้ำ ความจริงฐิติพรรณจะเดินตามไปด้วย แต่เสี่ยโฉดทำเป็นพูดเสียงเคล้าหัวเราะ
“แหม..ใจคอจะให้พวกผมนั่งเหงากันอยู่หรือครับ …รอให้คุณรสกลับมาก่อนแล้วน้องไอซ์ค่อยไปดีกว่า”
พริตตี้สาวหัวเราะคิกๆ ส่งนัยน์ตาหวานฉ่ำให้กับเสี่ยเซี้ยง ยิ้มพลางว่า
“ก็ได้ค่ะ…”
เสี่ยเซี้ยงพยักหน้าให้กับเสี่ยทอง ที่รับลูกอย่างเข้าใจกัน กล่าวถามเหมือนไม่ค่อยได้สนใจอะไรนักว่า
“คุณรสกับคุณปานเทพเขารู้จักกันมานานแล้วหรือครับ…น้องไอซ์”
ฐิติพรรณคิดนิดหนึ่ง มองตาเสี่ยเซี้ยงแบบลังเล ถ้าอีกฝ่ายเป็นคู่ควงคนปัจจุบันของพี่รส เธอควรจะพูดหรือ…
เสี่ยโฉดหัวเราะ เพราะอ่านสายตาของเด็กสาวออก โบกมือกล่าว
“ไม่ต้องห่วงครับ…ผมกลับรู้สึกดีเสียอีก…ถ้าจะได้ฟังทุกอย่างให้เคลียๆ ไป…จะได้ไม่ต้องติดค้างใจไงล่ะครับ”
ได้ยินดังนั้นฐิติพรรณจึงเล่าเรื่องความสันพันธ์ในอดีตระหว่างคันธรสกับปานเทพให้สามเสี่ยที่นั่งอยู่ในโต๊ะฟัง และก็เลยเล่ารวมไปถึงเรื่องของศักดาด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เร้นลับในใจ
“พี่รส…เขาโชคดีค่ะ…ที่รู้ตัวไอ้แมงดาโฉดนั่น…ก็เลยถอนตัวมาทัน…แต่ไอซ์คิดๆ ดูแล้วมันน่าแค้นไหมคะ…คนแบบนี้มันสมควรต้องได้รับโทษอย่างสาสม…”
คำพูดของพริตตี้สาวนั้นเป็นการเบิกช่องทางให้เธอสามารถหาแนวร่วมจัดการศักดาจิ้งจอกสวาทที่กลายเป็นเป้าหมายที่เธอต้องการทำลายอย่างที่สุด
ในเวลานั้นทั้งสามเสี่ยต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป เสี่ยทองกับเสี่ยเซี้ยงดวงตาครุ่นคิดวูบวาบ
ส่วนเสี่ยคิ้มนั้นมีใบหน้าตื่น ตาเบิกโพลง สอบถามฐิติพรรณด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
“น้องไอซ์พูดว่าไอ้นั่นมันชื่อศักดาหรือ…หน้าตามันเป็นยังไงครับ”
ฐิติพรรณหันไปมองใบหน้าเหลี่ยมที่ไว้เคราแพะนั้นแล้วยักไหล่ว่า
“ก็อายุสักสามสิบปี หน้าตาดี ผิวขาวค่ะ…เพราะอย่างนั้น…ไอ้แมงดานั่นจึงอาศัยหน้าตาของมันหลอกลวงผู้หญิงไงคะ…เสี่ย”
เสี่ยคิ้มขบกรามกล่าวเสียงหนัก
“คงเป็นไอ้ศักดานั่นแน่…มันทำผมแสบเหลือเกิน”
มันช่างเป็นความบังเอิญเสียเหลือเกิน เพราะเหยื่อรายล่าสุดของศักดาก่อนที่จิ้งจอกสวาทจะหลบหนีมากรุงเทพนั้นก็คือบ้านเล็กของเสี่ยคิ้มนั่นเอง ในเวลานั้นเสี่ยคิ้มที่ควานหาตัวของศักดาไม่เจอที่ขอนแก่นจึงรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด
ในเวลานั้นแววตาของพริตตี้สาวลุกวาบ ความจริงเธอแค่หวังเล่นๆ ว่าจะโยนเรื่องศักดาเข้าไป เผื่อหาช่องทางในการจัดการอีกฝ่ายให้สมแค้น แต่ตอนนี้ใจของเด็กสาวเต้นแรง เพราะถ้าเสี่ยคิ้มมีความบาดหมางกับไอ้ชาติชั่วนั่นเป็นทุนเดิม….งานของเธอก็มีหวังได้สมปรารถนา
แต่ตอนนี้เด็กสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้อะไรไปมากกว่านี้…เพราะมันดูเหมือนจงใจเกินไป…ตอนนี้แค่พอมีช่องทางก็ดีแล้วค่อยๆ…หาทางคืบไปอีกจะดีกว่า
คิดอย่างนั้นใบหน้างามตาของฐิติพรรณก็ยิ้มหวาน ผสมเหล้าและโซดาให้กับเสี่ยคิ้มอีกแก้ว
“เสี่ยดื่มเหล้าให้ใจเย็นๆ สบายๆ นะคะ…เรื่องไม่สบายใจก็ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า”
เมื่อคันธรสเดินกลับมา บรรยากาศในโต๊ะจึงเป็นแบบสบายๆ คุยกันสัพเพเหะระ แต่ถ้าต่างคนต่างอ่านความคิดกันออก ก็คงจะตกใจไม่น้อย เพราะเบื้องหน้าต่อทุกคนล้วนแล้วแต่ใส่หน้ากากที่หัวเราะยิ้ม แต่เบื้องลึกภายในใจคนทั้งห้าในโต๊ะต่างขบคิดใคร่ครวญเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กันโดยตลอดทั้งสิ้นทุกตัวคน
……………………….
bananaa 2010-04-27 21:54
อรอุษามองเห็นตนเองเดินอยู่ท่ามกลางสวนกุหลาบที่สวยสะพรั่ง ทะเลดอกไม้ที่ห้อมล้อมเธออยู่มันช่างสวยงามและเปี่ยมไปด้วยสีสรรอันแพรวพราวราวกับเป็นวิมานสวรรค์ชั้นฟ้า เด็กสาวยืนมองไปรอบๆ ตัวด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจต่อสีสรรที่สดใสจากดอกไม้ที่แย้มกลีบงดงาม เบ่งบานสยายกลิ่นหอมรวยรินจรุงไปรอบๆ ทำให้ตัวเธอเองนั้นอกที่จะยื่นหน้าไปดมกลีบอันบอบบางเหล่านั้นอย่างมีความสุขไม่ได้ ดวงตากลมโตนั้นเปี่ยมไปด้วยแววตาแห่งความชื่นบานแจ่มใส
เด็กสาวเดินฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข เดินไปตามทางที่สองฟากข้างมีดอกไม้เบ่งบานผลิใบออกมาประชันความงดงามรายล้อมเธออยู่
ทันใดนั้น ขณะที่อรอุษากำลังมองไปรอบๆ ตัวอย่างเพลิดเพลิน สายตาของเธอก็มองไปปะทะกับร่างเล็กบางของพี่สาวคนกลางที่เดินเห็นหลังอยู่ไกลๆ
ด้วยความดีใจ เด็กสาวตะโกนร้องเรียก
“พี่นุช…พี่นุชคะ”
แต่ร่างบางงามของพี่สาวคนกลางนั้นยังคงเดินต่อไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามองเธอแม้แต่น้อย
อรอุษาพยายามเร่งฝีเท้าเดิน แต่ระยะทางระหว่างเธอกับพี่สาวนั้นไม่ได้ร่นใกล้ลงมาเลย เด็กสาวจึงตัดสินใจวิ่งเต็มกำลัง แต่ร่างบางที่เดินเป็นปกติข้างหน้ากลับค่อยๆ ห่างไปๆ ทิ้งระยะจากเธอไปเรื่อยๆ จนอรอุษาใจหายต้องตะโกนเสียงดังจนแสบคอ
“พี่นุช…พี่นุช..รอ…ษาด้วยค่ะ…พี่นุช”
ทันใดนั้นพลันมีกลุ่มหมอกที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในบริเวณนั้น จนบดบังร่างของพี่สาวคนกลางของเธอไป อรอุษาวิ่งฝ่ากลุ่มหมอกไปจนเหนื่อยแต่ตามทางที่คดเคี้ยวนั้นเด็กสาวไม่เห็นตัวของอรนุชแล้ว
“พี่นุช…พี่นุช”
เด็กสาวพยายามส่งเสียงตะโกนร้องเรียก เสียงของเธอเครือสะท้านราวกับเด็กที่กำลังหลงทาง
ตามเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาอย่างวกวนที่ซึ่งสองฟากข้างเต็มไปด้วยดอกไม้สีสรรสดใสที่เมื่อครู่ยังสร้างความสุขใจให้กับเธอ แต่ตอนนี้อรอุษารู้สึกว่าไม่ต่างอะไรกับผนังเขาวงกตที่เธอพยายามวิ่งวนพยายามหาทางออก แต่ไม่ว่าเด็กสาวจะวิ่งไปซ้าย ทะลุออกมาทางขวา วิ่งวนไปทุกที่ทุกแยกที่พบจนอรอุษารู้สึกเหนื่อยหอบจนแทบจะขาดใจ ทั่วร่างมีแต่เหงื่อที่ผุดพรายออกมาจนเปียกชุ่มไปหมด แต่รอบๆ ตัวเธอนั้นก็ยังคงเป็นผนังต้นไม้ผลิดอกสีสดใสที่ส่งกลิ่นหอมจรุง ที่บัดนี้กลิ่นนั้นมันเริ่มฉุนจนเธอรู้สึกเอียนเต็มที วิงเวียนศีรษะไปหมด
ทันใดนั้นเองต้นไม้ที่มีดอกอันงดงามก็สั่นพึ่บๆ ราวกับมีชีวิต เส้นยาวเหยียดของเถาวัลย์ไม้ที่มีหนามแหลมพุ่งออกมาจากข้างทางม้วนเข้ารัดข้อมือและข้อเท้าของเธอเอาไว้จนอรอุษารู้สึเจ็บแสบไปจนจับจิตจับใจ
เด็กสาวพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่ยิ่งดิ้นรอยบาดลึกของหนามเหล่านั้นก็ยิ่งชำแรกลึกเข้าไปในผิวเนื้ออันอ่อนนุ่มของเธอจนเลือดไหลออกมาแดงฉานบาดตา ความเจ็บแสบนั้นพล่านไปทั่วอณูความรู้สึกจนอรอุษาต้องร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
ทันใดนั้นเองเธอได้ยินเสียงหนึ่งร้องเรียกอย่างอ่อนโยนปลอบประโลม
“ษา…ไม่ต้องกลัวพี่มาแล้ว”
อรอุษาหันไปก็เห็นอรชาพี่สาวคนโตกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ เด็กสาวตะโกนเรียกอย่างดีใจ
“พี่อร..พี่อร..ช่วยษาด้วย…”
“จ้ะ..พี่มาแล้วน้องรักของพี่…ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ”
อรชาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวาน วิ่งตรงเข้ามาหาเธอ ในเวลานั้นอรอุษารู้สึกโล่งใจและอุ่นใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน…เธอปลอดภัยแล้ว…พี่อรของเธอมาแล้ว…
ทันใดนั้นเอง โดยต่อหน้าต่อตา พื้นดินตรงหน้าที่พี่สาวคนโตกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอพลันยุบตัวลงไปราวกับมีใครวางกับดักเอาไว้ ใบหน้าอ่อนหวานของอรชาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก เอื้อมมือเหยียดออกหมายจะยื่นเข้ามาคว้ามือของเธอเอาไว้
“ษา…..”
“พี่อร….”
อรอุษาร้องอย่างตกใจ พยายามยื่นมือไปถึงพี่สาว แต่ก็เจ็บแปลบไปหมด เพราะเถาวัลย์ที่ม้วนรัดอยู่ตรงข้อมือนั้นดึงรัดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา เด็กสาวเบิกตากว้าง มองพี่สาวที่เธอรักสุดหัวใจ กรีดร้องเสียงดัง และร่วงหล่นหายลงไปในหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น เสียงดังโหยหวนย้อนขึ้นมา….ษาาาาาาาาาาาาาา….
“พี่อร….พี่อร….”
เด็กสาวน้ำตาไหลพราก ร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียง ฉับพลันนั้นเถาวัลย์ที่หนาแน่นแหลมคมก็ราวกับถูกมืออันไร้สภาพกระตุกดึง ร่างบางของอรอุษาที่ถูกพันธนาการอยู่ก็ลอยคว้างไปตามแรงดึง จนร่างของเธอถูกดูดกลืนเข้าไปในผนังต้นไม้ที่เปี่ยมไปด้วยสีสรรอันสดในบาดตานั้น หนามแหลมคมนับหมื่นนับพันพร้อมใจกันบาดกรีดไปตามผิวกายอันอ่อนนุ่มของเธออย่างถี่ยิบ เด็กสาวร้องออกมาสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส!!!!
“พี่อรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร………..”
อรอุษากรีดร้องเสียงดังลั่น พร้อมๆ กับความรู้สึกที่ทุรุนทุรายจนแทบขาดใจ ร่างบางก็ทะลึ่งขึ้นมาจากนิทรารมย์อันสุดแสนจะทรมานนั้น
เด็กสาวที่ผุดลุกขึ้นมานั่งพับเพียบ หอบหายใจจนตัวสั่นสะท้าน ทั่วร่างมีเหงื่อผุดขึ้นจนชุ่มโชกไปทั้งตัว
ดวงหน้าสวยหวานนั้นซีดเผือด ดวงตาโตนั้นบวมช้ำเต็มไปด้วยรอยน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา อรอุษาตัวสั่นสะท้านขดตัวไปนั่งคู้เข่าอยู่กับหัวเตียง ซบหน้าลงสะอื้นไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว ทั้งๆ ที่เธอพยายามร้องกับตัวเอง
ไม่ต้องกลัว…ไม่ต้องกลัว..มันเป็นแค่ความฝัน
แค่ความฝัน……
…………………….
ฐิติพรรณกรอกเสียงหวานลงไปกับมือถือ
“ค่ะ..ใช่ค่ะ…รุเขาพักอยู่กับไอซ์เองไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
ทางบ้านของรุจิราโทรมาสอบทวนเพื่อความสบายใจ เพราะบุตรีคนเล็กของครอบครัวโทรมาว่าจะขอค้างกับเพื่อนติดต่อกันเป็นคืนที่สอง
“จ้ะ..รบกวนหนูไอซ์ด้วยนะ”
“ค่ะ…ไม่เป็นไรค่ะ”
เด็กสาวกล่าวเสียงรื่นรมย์ ดวงตาพราวด้วยความสุขสมหวัง
ค่ำคืนนั้น
ในเวลาที่พริตตี้สาวหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ณ อีกมุมหนึ่งของเมืองหลวง อรอุษากำลังขดตัวนั่งสะอื้นตัวสั่นอยู่บนเตียง
และอีกเช่นเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในบ้านหลังนั้น ที่ยังมีแสงไฟลอดออกมา
เสียงครางกระเส่ายังคงดำเนินต่อไป…..
11.
“เฮ้…เจส…แคธี่มาแล้วนั่นไง…โอ้โห…สวยขึ้นเป็นกอง”
สาวผมแดงใบหน้าคมคายสะกิดเพื่อนสาวผมทองที่กำลังเลือกๆ หยิบๆ โบรชัวร์แนะนำการท่องเที่ยวที่เสียบเอาไว้บริการนักท่องเที่ยว ณ เคาน์เตอร์บริเวณลอบบี้ที่อยู่ภายในโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางกรุงนิวยอร์ค ให้มองไปยังทิศทางของประตูทางเข้าด้านหน้าซึ่งเป็นประตูอัตโนมัติทรงกลมที่หมุนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในตอนนั้นเป็นจังหวะที่ประตูหมุนเปิดออก พร้อมๆ กับส่งคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาภายในอาคารที่มีการตกแต่งอย่างหรูหราตระการตา
สาวผมทองที่ตัดสั้นรับกับใบหน้าสวยปราดเปรียว เหลือบตาสีมรกตของเธอมองไปยังทิศทางที่เพื่อนสะกิด แล้วก็ต้องร้องฮูเร้ดังลั่น วิ่งเข้าไปหาหญิงสาวร่างบางที่กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม
“แคธี่….โอว์….แคธี่จริงๆ ด้วย…บราโว…ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ….แหม…ขอยืมคำของมาร์ธ่าหน่อยเถอะ…เธอสวยขึ้นจนจำแทบไม่ได้แน่ะ…”
ใบหน้างามของผู้ที่เข้ามาใหม่ก็แดงระเรื่อ ดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยประกายตาแห่งความปิติยินดี
“เจส…มาร์ธ่า…ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกันอีก”
สามสาวผลัดกันกอดรัดชื่นชมซึ่งกันและกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เสียงหัวเราะทักทายประสานดังสดใสนั้นช่วยทำให้บรรยากาศในล๊อบบี้หรูดูงดงามและเปี่ยมไปด้วยสีสรรอันน่าตื่นใจไปกว่าเดิม แขกเหรื่อที่เดินไปเดินมาในบริเวณนั้นน้อยคนนักที่จะอดใจไม่ให้หันมามองดูสามสาวด้วยแววตาอันชื่นชมได้
“ไปกันเถอะ..ฉันจองโต๊ะเอาไว้แล้ว…หิวจะแย่…”
สาวผมทองกล่าวเสียงครึกครื้น เดินจูงมือสาวผมดำร่างบางเล็กที่สุดในกระบวนสามสาวเดินตรงเข้าไปด้านใน ผ่านทางเดินที่ปูลาดด้วยหินอ่อนสีดำตัดเทา ตรงด้านข้างของผนังตลอดเส้นทางนั้นมีลวดลายแบบ Post Modern Art อันสวยงามแปลกตาที่เข้ากันได้กับสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งเป็นทรงร่วมสมัยยุควิคตอเรียได้อย่างน่าประหลาด ทางเส้นนั้นนำเรื่อยไปจนเข้าไปถึงห้องอาหารขนาดใหญ่ที่ตกแต่งบรรยากาศภายในโดยรอบด้วยศิลปะแบบอิตาเลี่ยนไสตล์ดูสอดคล้องเหมาะเจาะกลมกลืนไปกับความหรูหราของแน
วความคิดกรอบการดีไซน์แบบผสมผสานที่โรงแรมสุดหรูนี้มอบความประทับใจให้กับแขกผู้มาเยือนเสมอมา
ด้วยความที่ทั้งสามเพิ่งมีโอกาสมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนานหลายปี ทำให้เสียงใสที่พูดคุยสนทนากันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหัวข้อของการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน เมื่อสนทนากันไปจนอิ่มอกอิ่มใจแล้วช่วงใหญ่ สาวผมทองก็เพิ่งจะได้มีช่องพูดถึงสิ่งที่เธอมองเห็นอยู่ตรงหน้า ซึ่งเธอมองไปใบหน้าอันงามของเพื่อนผู้มีผมดำตาดำสนิทอย่างยิ้มแย้มพลางว่า
“แคธี่…ฉันว่าเธอดูหน้าซีดๆ ตาคล้ำไปหน่อยนะ…เครียดกับงานมากไปหรือเปล่า…ที่รัก”
ขณะที่พูด สตรีผู้มีตาสีเขียวมรกตเอื้อมมือมากุมไปที่มือบางของหญิงสาวเพื่อนรักของหล่อนผู้ซึ่งถือกำเนิดมาจากอีกซีกโลก แต่มีอันต้องโคจรมาเป็นเพื่อนรักกันสมัยที่พวกเธอเรียนหนังสือกันอยู่ที่คอเนล
“ไม่รู้สิเจส…ฉันนอนไม่ค่อยหลับกระมัง…”
สาวผู้มีผมสีดำเป็นมันวาวยาวเคลียไหล่ลาดงามนั้นพูดเบาๆ และด้วยวิสัยของอิสตรีทำให้เธออดที่จะต้องเปิดกระเป๋าหยิบตลับแป้งขึ้นมาส่องหน้าไม่ได้ สาวผมทองหัวเราะคิกคัก
“โนๆ…พรีสด้อนวอรี่…ที่ฉันใช้คำว่าหน้าเซียว…แต่เธอก็สวยเกินพอที่จะทำให้หนุ่มๆ ที่นี่คอเคล็ดกันเป็นแถวแล้วล่ะจ้ะ…”
เธอพูดจบก็ยกมือปิดปากหัวเราะร่วน พร้อมทั้งกวาดตามองไปรอบๆ ตาเขียวมรกตนั้นส่ายยั่วเย้า ทำให้สายตาของหนุ่มๆ ที่มองมาหลบวูบกันไปเป็นแถว หญิงสาวก็เลยยิ่งหัวเราะออกมาเสียงดังขึ้นไปกว่าเดิมอีก
“นั่นสิ…ถึงว่าหน้าขาวเป็นกระดาษเชียว…ว่าแต่ที่นอนไม่หลับนี่เป็นเพราะคิดถึงหวานใจหรือเปล่าจ๊ะ…ท่านประธานแคท…”
เจสสิก้าพยายามกลั้นหัวเราะ แต่เสียงที่ออกมานั้นก็ยังกลั้วไปด้วยอารมณ์ที่ยั่วเย้า พร้อมๆ กับใช้แววตาล้อเลียนมองไปยังใบหน้างามของเพื่อนรักผู้มาจากประเทศไทย ทำให้สาวผมแดงที่กำลังรินไวน์สีสดลงแก้วให้กับตัวเองและเพื่อนทั้งสองคนพลอยยิ้มไปด้วย
อรชาหรือผู้ที่เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียกว่า..แคธี่ หรือแคท..ซึ่งย่อมาจากคำว่าแคทเธอรีนอีกทีหนึ่งเพราะสมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ เวลานั้นเพื่อนถามว่าชื่อของเธอแปลว่าอะไร ซึ่งหญิงสาวตอบว่า
“เอ่อ…ประมาณว่า…ผู้ปราศจากมลทิน…อะไรทำนองนี้แหล่ะ”
เจสสิก้ารูมเมท ตีมือกับหัวเข่าดังฉาดใหญ่ ตอนนั้นเธอสรุปอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันตั้งชื่อใหม่ให้เธอว่า…แคทเธอรีนนะ…เหมาะมาก…สวยบริสุทธิ์สมกับตัวเธอเลย…แคธี่”
เพื่อนๆ ร่วมชั้นต่างเห็นดีด้วยกับความคิดของสาวมั่นผู้เป็นลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีชื่อดังเจ้าของโรงแรมเครือใหญ่อันดับหนึ่งของรัฐเทกซัส ดังนั้นอรชาจึงได้รับการเรียกขานว่า “แคธี่” นับแต่นั้น
หลังจากจบงาน Road Show ที่ซานฟรานซิสโก อรชาก็มีธุรกิจต้องติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศ รวมไปถึงการมีนัดแวะดูงานการจัดการโรงแรมของพันธมิตรการค้าของเธอ ซึ่งอรชาต้องการให้ทีมงานที่ติดตามเธอมาหลายคนได้มีโอกาสและประสบการณ์ในการศึกษารูปแบบการจัดการของโรงแรมชั้นนำมีชื่อเสียงเหล่านั้น เพื่อนำกลับเอาไปปรับใช้ในการบริหารงานโรงแรมในเครือคัทธลียาของตนเอง
ตอนนี้หญิงสาวบินข้ามฟากจากฝั่งตะวันตกมายังตะวันออกที่นิวยอร์คเพื่อเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าอีกรายหนึ่ง และเนื่องจากเจสสิก้าซึ่งแต่งงานกับนักธุรกิจท้องถิ่นที่นิวยอร์คแห่งนี้ เป็นเพื่อนสาวที่อรชาสนิทด้วยกันที่สุดและยังเป็นรูมเมทอยู่ด้วยกันเกือบสองปี ความสนิทสนมของสองสาวคู่นี้สมัยเรียนหนังสือที่คอแนล เรียกได้ว่าเห็นเจสที่ไหนก็ต้องเจอแคธี่ที่นั่น ดังนั้นสองสาวจึงตกลงนัดเจอกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตั้งแต่แยกจากกันไป และช่วงเวลานั้นเหมาะเจาะพอดีกับที่เพื่อนอีกคนหนึ่ง…มาร์ธา…เดินทางมาทำธุระที่นิวยอร์คพอดี สามสาวเลยมาจอยกันที่โรงแรมหรูแห่งนี้
ตอนนั้นอรชาหรือ “แคธี่” ของเพื่อนทั้งสองฝืนยิ้มออกมา ใบหน้างามแดงระเรื่อ
“บ้าน่า…เจส…ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย”
มาร์ธาเลื่อนแก้วไวน์ให้กับเพื่อน ถึงแม้เธอจะไม่ใช่รูมเมทกับสาวน้อยที่มาจากประเทศไทยเหมือนเจสสิก้า แต่เพราะกิริยามารยาทอันงาม และนิสัยที่อ่อนโยนน่ารักของอีกฝ่ายนั้นทำให้เพื่อนๆ ทุกคนรัก “แคธี่” ตัวเล็กๆ คนนี้ด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าตัวของ “แคธี่” จะมีอันที่ต้องเลิกเรียนกลับไปกลางคันก็ตาม แต่ก็ยังมีการติดต่อส่งข่าวซึ่งกันและกันอยู่เสมอมา ซึ่งมาร์ธายังจำได้ดีถึงวันที่ต้องร่ำลากันด้วยน้ำตา เศร้าทั้งที่ต้องลาจากกันไปและเศร้าทั้งข่าวร้ายที่มาเยือนจากแดนไกลนั้น
“เจส…ปากหล่อนนี่…เหมือนเดิมไม่ผิดเลยนะ…”
สาวสวยผมแดงซึ่งมีกิจการโรงแรมส่วนตัวเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐแมรี่แลนด์ที่ซึ่งไม่ไกลจากนิวยอร์คนี้เท่าไหร่นักกล่าวค่อนขอดเพื่อนร่วมชั้นเรียน
เจสสิก้าหัวเราะเสียงดัง
“ใครว่าจ๊ะ…ฉันพูดความจริง…สาวโสดอย่างเธอคงไม่เข้าใจ…ถ้าลองเธอแต่งงานดูสิ…กลิ่นฮันนีมูนยังไม่จางเลยก็ต้องมีอันให้ห่างจากสามีข้าวใหม่ปลามัน
แบบว่าคนละทวีปอย่างแคธี่แล้วยังใจแข็งไม่เป็นโรคคิดถึงหวานใจก็ให้มันรู้ไป”
มาร์ธาส่ายหัว หันไปยิ้มกับอรชา
“อย่าไปถือสาปากของแม่เจสเลยนะ…แคธี่”
อรชายิ้มออกมาให้กับเพื่อนสนิททั้งสองคน ความรู้สึกเก่าๆ ที่หวนให้ระลึกถึงทำให้จิตใจที่หนักอึ้งมาตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาผ่อนคลายลงไปอย่างมาก
เจสสิก้าใช้มีดหั่นเนื้อเสต๊กชิ้นนุ่มตรงหน้าส่งเข้าปากเคี้ยวตุ๊ยๆ อย่างอร่อยขณะที่ถาม
“ทริปนี้ของเธอ…แคธี่…เป็นยังไงบ้าง…ประสบความสำเร็จดีไหม?”
“ฮื่อ…ก็ดี…พรุ่งนี้ฉันมีนัดคุยกับทางเพนนิซูล่าเกี่ยวกับเรื่อง promotion package ที่โรงแรมฉันกำลังจะเริ่มโครงการกับเขาด้วย”
อรชาพูดจบก็ใช้ช้อนตักสลัดผักเข้าปาก เคี้ยวผักสดกรอบคำเล็กๆ นั้นด้วยกิริยาอันงามตา เจสสิก้ากับมาร์ธายิ้มให้กันแล้วฝ่ายหลังพูดขึ้นว่า
“แหม..ฉันนี่อิจฉาเธอจริงๆนะ…แคธี่…ทำไมกิจการของเธอมันช่างรุดหน้าไปไวกว่าเพื่อนฝูงถึงขนาดนี้…ดูแต่โรงแรมของฉันสิ…เป็นแค่ตึกเก่าๆ เสร็งเคร็งจุคนได้ไม่ถึงร้อยเองมั้ง”
สาวผมแดงพูด แต่น้ำเสียงล้อๆ นั้นไม่ได้จริงจังกับคำพูดนัก มิหนำซ้ำใบหน้ายังแสดงถึงความยกย่องด้วยใจจริง
อรชาสั่นศีรษะแรงๆ จนผมดำเคลียไหล่นั้นพลิ้วไหวเป็นคลื่นงามล้อกรอบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์รัดรึงใจ ก่อนจะหันไปมองสาวผมทอง แล้วว่า
“ใครว่ากันจ๊ะ….โรงแรมของฉันน่ะเทียบโรงแรมของเจสเขาได้ที่ไหน…”
เจสสิก้าโบกไม้โบกมือวุ่นวาย
“โธ่…อย่ามาถ่อมตัวไปหน่อยเลย…ที่รัก…นั่นมันโรงแรมของพ่อฉัน…ใช่ของฉันซะที่ไหนกัน…แคธี่จ๋า…ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหล่ะ…ในกระบวนคนร่วมชั้นเดียวกันไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่าเธอแล้ว”
มาร์ธาผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้นชูแก้วในมือขึ้น ร้องเสียงใส
“ดื่มให้แคธี่คนเก่งของเรา…”
เจสสิก้าหัวเราะคิกคักชอบใจยกแก้วขึ้นบ้าง ทำให้อรชาอดหัวเราะตามไม่ได้ต้องยกแก้วขึ้นชนกับเพื่อนทั้งสองเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
สามสาวยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากพร้อมๆ กัน ใบหน้าขาวของสาวผมทองนั้นมีสีสดงามขึ้นมาทันตา ขณะที่มาร์ธ่าเองก็ใช่ย่อยใบหน้าสวยของเธอนั้นเป็นประกายจัดรับกับผมสีแดงสวยเป็นมันระยับ แต่ทว่าในเวลานั้นสายตาของใครอีกหลายๆ คนโดยรอบ ต่างจับจ้องมองมุ่งตรงไปยังใบหน้าของสาวผมดำที่น้ำสีสดนั้นก่อให้เกิดริ้วสีแดงซ่านขึ้นตรงแก้มใสกันแทบเป็นจุดเดียว ซึ่งสองสาวร่วมโต๊ะนั้นมองตากันต่างฝ่ายต่างยิ้มย่องผ่องใส และเป็นเจสสิก้าสาวผมทองผู้มีปากไวเลื่องลือไปทั่ว หันไปหลิ่วตาให้ชายหนุ่มผมทองที่มอง “แคธี่” ของเธอตาหวานเลี่ยน ปากหัวเราะร่วน
“เสียใจเพื่อน…กุหลาบงามดอกนี้มีเจ้าของแล้ว”
เธอว่าพลางหยิบมือเล็กบางด้านซ้ายของอรชาขึ้นมาชี้ให้เห็นเพชรน้ำงามเม็ดเล็กจิ๋วทว่าน้ำงามเป็นประกายพราวล้อแสงไฟระยับตา
หนุ่มหล่อผมทองนั้นหน้าม้านไปทันที เพราะมัวแต่ตะลึงมองวงหน้าอันงดงามโดยลืมดูไปว่านิ้วนางข้างนั้นมีเจ้าของตีตราจองไว้แล้ว
อรชาใบหน้าแดงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก รีบดึงมือกลับ ดุเพื่อนรักตาโต
“เจสนี่…อะไรกัน…เซี้ยวใหญ่แล้ว”
เจสสิก้าหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจ มาร์ธาเองก็ผสมโรงหัวเราะไปด้วย แต่เพราะเห็นเพื่อนรักอายจนหน้าแดงก็เลยช่วยแก้ให้โดยการเปลี่ยนเรื่องเป็นถามไถ่เกี่ยวกับครอบครัวของอีกฝ่ายแทน ซึ่งแคธี่ของพวกเธอก็ยิ้มสดใสเล่าเรื่องของน้องสาวทั้งสองให้ฟังอย่างกระตือรือร้น
“น้องสาวคนกลางของฉันซนเหลือขนาด…พวกเธอรู้ไหม…นุช…น้องสาวของฉันน่ะตอนนี้เครซี่เรื่องปืนแบบว่า…เป็นเอามากเลย…ยืนปืนเล่นจนบางวันกลับมาบ้าน
…เหม็นกลิ่นควันปืนตามเสื้อผ้าที่สุดเลย…”
อรชาพูดไปยิ้มไป เธอมีความสุขเสมอที่ได้พูดถึงน้องสาวอันเป็นที่รักทั้งสองคน เจสสิก้าฟังแล้วผงกศีรษะหงึกหงัก
bananaa 2010-04-27 21:55
“แหม…ไม่เห็นแปลกเลยนี่นา…ดีซะอีกผู้หญิงอย่างเราต้องแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นรองผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น…อยากให้น้องสาวเธอมาที่นี่จัง…นายโทนี่…
เพื่อนสมัยเด็กๆ ของฉันน่ะ…ตอนนี้เป็นเจ้าของคอกปศุสัตว์…นายนั่นน่ะดูถูกผู้หญิงเหลือเกิน…บอกว่าอ่อนแออย่างนั้น…เหยาะแหยะอย่างนี้…ไอ้เรื่องปืนผาหน้าไม้กับฉันน่
ะถูกกันที่ไหน…เลยเจอไอ้หมอนั่นเกทับตลอด…ถ้าน้องสาวเธอมา…ฉันจะได้ยุส่ง…ให้รู้ว่าผู้หญิงเราถ้าจะเอาดีทางไหนก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ…จะได้ตอกหน้าแงนาย
โทนี่ให้เจ็บไปเลย”
เจสสิก้าพูดอย่างยืดยาว พูดไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป จนอรชาและมาร์ธาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ เสียงหัวเราะของสามสาวประสานกันดังสดใส
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารกลางวันมื้อนั้น สำหรับชายหนุ่มหลายๆ คนในบริเวณโดยรอบโต๊ะของสามสาวสวยจะรู้สึกเจริญอาหารเป็นพิเศษ เพราะมีอาหารตาเป็นเครื่องเคียงชั้นเลิศอย่างนั้น
ความจริงอรชานั้นกำลังมีความรู้สึกแจ่มใสเบิกบานใจอย่างที่สุด…หลายๆ วันที่ผ่านมานั้นเธอไม่เคยรู้สึกดีเช่นนี้มาก่อนเลย แต่น่าเสียดาย…ความเบิกบานใจนี้มันช่างมีอายุที่สั้นเหลือประมาณ…
เพราะในวินาทีถัดไปอะไรบางอย่างที่มันเสียววาบขึ้นมากลางอกจนใจหาย ความรู้สึกโหวงเหวงเหมือนราวกับว่าเธอนั้นพลัดตกลงมาจากที่สูง จมดิ่งลงไปในห้วงมหรรณพอันหาที่หยั่งยึดไม่ได้ ความรู้สึกที่วาบหวิวจนจับขั้วหัวใจนั้นทำให้มือบางงามที่วางอยู่บนโต๊ะสะท้านไหว จนเคลื่อนกระตุกไปกระแทกแก้วทรงสูงที่วางอยู่ข้างตัว
เพล๊ง!!!
แก้วเนื้อบางทรงสูงที่ตกลงกระทบพื้นนั้น แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำสีสดภายในนั้นกระฉอกออกมากระจายนองอยู่บนพื้น เสียงอันดังเสียดแก้วหูทำให้บรรดาคนที่นั่งกินอยู่แถวนั้น ต้องหันขวับมามองอย่างตกใจ
คนทำให้เกิดเสียงดังเปรื่องปร่างนั่งหน้าซีด ก้มศีรษะถี่ถี่ไปรอบๆ ตัวเป็นเชิงขอโทษต่อการกระทำของตนเอง
เจสสิก้าและมาร์ธาเบิกตากว้าง สาวผมทองกุมไปที่มือของอรชา
“แคธี่..เธอเป็นอะไรไป?”
เสียงรุมถามมานั้นดังอย่างตกอกตกใจ อรชาใบหน้าขาวเผือดลงฉับพลัน ส่ายศีรษะไปมาช้าๆ ดวงตาคู่งามนั้นเลื่อนลอย ความรู้สึกหวิวๆ นั้นยังจับไปที่ขั้วหัวใจอยู่ มือชาเท้าชา ร่างบางนั้นสั่นระริกราวกับจับไข้ ในช่วงขณะนั้นเธอเองก็หาคำตอบให้กับเพื่อนรักไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“มะ..ไม่รู้สิ…อยู่ดีๆ…มือมันก็กระตุกไปเอง”
ขณะที่มาร์ธากวักมือเรียกบริกรให้รีบมาทำความสะอาดพื้นโต๊ะกับจัดการเศษแก้วที่แตกละเอียดอยู่ตรงพื้นห้อง เธอก็จ้องไปที่หน้าขอเพื่อนรักอย่างกังวล
“เฮ้…ที่รัก…หน้าเธอซีดมากเลยนะ…เจส…พาแคธี่ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะ”
สาวผมแดงบอก เจสสิก้าผงกศีรษะเห็นด้วย ผุดลุกขึ้นดึงมือบางของอรชาให้ลุกตามออกมา หญิงสาวเกรงใจเพื่อนขยับปากจะปฏิเสธ แต่เพื่อนรักกระซิบ
“มาเถอะ…แคธี่…ใครๆ มองดูเธอกันใหญ่แล้ว”
อรชาเหลียวมองไปรอบๆ ตัวก็แลเห็นสายตาหลายคู่จับจ้องมา ใบหน้าซีดนั้นแดงขึ้นเล็กน้อย เห็นด้วยกับคำชักชวนนั้นทันที
เจสสิก้าเดินจูงเพื่อนผู้มาจากเมืองไทยไปที่ล๊อบบี้ และหามุมเงียบๆ พาอรชาไปนั่งลงและทรุดนั่งข้าง ๆ กอดเพื่อนรักเอาไว้แน่นอย่างเสน่หา
“เป็นไรฮึ…แคธี่…บอกฉันมาตามตรงเถอะ…ฉันสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะ…ว่าเธอจะต้องมีอะไรในใจแน่ๆ”
สีหน้าของสาวสวยผมทองไม่มีแววขี้เล่นอีก ใบหน้าสวยนั้นเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาสีมรกตนั้นมีแววของความเป็นห่วงอย่างลึกซึ้ง
อรชาฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้งเต็มที สภาพที่เห็นนั้นดวงหน้าบางใสเต็มไปด้วยริ้วรอยของความเหนื่อยล้า เป็นภาคที่หญิงสาวน้อยครั้งจะแสดงออกมาให้คนภายนอกได้เห็น
ภายใต้ภาพของหญิงสาวที่สง่างามโดดเด่นและมีความมั่นอกมั่นใจ ดูประหนึ่งว่าจะสามารถรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างมีสติและสัมปะชัญญะได้ทุกครั้งไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่โตเพียงไร ทว่าโดยความจริงนับตั้งแต่ต้องเข้ามารับช่วงกิจการของบิดาตั้งแต่วัยเยาว์มาก หญิงสาวก็ต้องเรียนรู้งาน เรียนรู้ธุรกิจ เรียนรู้จากของจริงซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เธอเคยเก่งกาจนักหนาในทำข้อสอบและหาข้อมูลเพื่อทำงานโปรเจคส่งอาจารย์ และที่สำคัญที่สุด ลำบากยากเข็ญที่สุดยิ่งไปกว่าการเรียนรู้การบริหารงานกิจการของโรงแรมในเครือที่มีความซับซ้อน นั้นคือการที่เธอต้องเผชิญกับการคน กับมนุษย์ที่มีจิตใจยอกย้อน การคบหาที่มีผลประโยชน์เป็นเดิมพัน สิ่งเหล่านี้ถาโถมเข้ามาหาอรชาผู้ซึ่งไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ดังนั้นหญิงสาวที่แม้ว่าเนื้อแท้จะเป็นนักสู้ไม่เคยยอมท้อถอยแค่ไหนก็ต้องอ่อนแรงและเหนื่อยล้า บ่อยครั้งเมื่อยามที่อยู่ตามลำพังในที่อันเป็นส่วนตัว ใบหน้าที่งามซึ้งนั้นจะพาดผ่านไปด้วยริ้วรอยแห่งความเหน็ดเหนื่อย
แต่ภาระของความเป็นผู้นำ เป็นผู้กุมบังเหียนกิจการที่ได้รับตกทอดจากบิดา เป็นประมุขคนถัดไปของครอบครัว ที่ต้องดูแลน้องสาวสองคนและบริวารนับหลายสิบชีวิต ยังไม่รวมพนักงานอีกหลายร้อยคน ผู้ซึ่งคนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติสุขภายใต้การนำทางของบิดาเธอ ซึ่งอรชาปฏิญาณว่าจะต้องทำให้ได้อย่างน้อยเทียบเท่าสิ่งที่บิดาเธอได้ทำเอาไว้จะไม่ยอมให้ใครๆ ตราหน้าว่าลูกสาวคนนี้ของคุณพ่อไม่มีความสามารถดูแลงาน ดูแลคนของท่านเป็นอันขาด ภาระเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่อรชาบอกกับตัวเองเสมอมาว่าเธอล้มไม่ได้…
ยามอรชารู้สึกอ่อนแรง สิ่งที่กระตุ้นให้เธอฮึดสู้และพยายามทบทวนความผิดพลาดเพื่อก้าวเดินต่อไปนั้นก็คือกำลังใจที่เธอมีจากน้องรักทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม สายตาที่เทิดทูนและความเชื่อมั่นของน้องสาวประดุจเกราะกำบังภัยชั้นดีที่หญิงสาวสามารถสวมใส่เพื่อเข้าต่อกรกับปัญหานานับประการ
และหญิงสาวค่อยๆ เรียนรู้ความสามารถที่จะซุกซ่อนความอ่อนไหว ความรู้สึกเหนื่อยล้าเอาไว้ภายใต้อาการอันสงบเยือกเย็น และมีบุคลิกภาพในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างนุ่มนวลมีสติ ซึ่งคนภายนอกไม่มีวันจะแลลึกเข้าไปมองเห็นตัวตนของหญิงสาวที่ยังอยู่ในช่วงวัยอันเยาว์เหลือเกินที่ต้องเข้ามารับผิดชอบกับภาระอันหนักอึ้งที่โถมเข้ามาอยู่กดด
ันตรงสองบ่าเล็กๆ ของเธอ
ภาระ…หน้าที่…สิ่งเหล่านั้นมันเป็นความกดดันที่ทำให้อรชาต้องตัดสินใจหันหลังให้กับความสดใส..ความร่าเริงของหญิงสาวที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันร้อ
นแรง….และความรัก…
เกราะที่อรชาสร้างขึ้นมาพันธนาการตัวเอง มันช่วยให้เธอฝ่าพันอุปสรรคมาได้ก็จริง…แต่ขณะเดียวกันนั้น…มันก็พรากเอาของล้ำค่าบางอย่างของเธอไปด้วย…
bananaa 2010-04-27 21:56
เปลือกนอกแห่งความแข็งแกร่งเคยทำหน้าที่ของมันได้ดีเสมอมา แต่ขณะนี้เบื้องหน้าเพื่อนผู้ซึ่งเคยคบหากันอย่างสนิทสนม เป็นรูมเมทด้วยกันตั้งแต่อรชายังเป็นเด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิต ใช้เวลาอย่างแจ่มใสเบิกบานสดใสอยู่กับสังคมตรงหน้า ไม่ใช่ผู้นำแห่งกิจการอันใหญ่โตและประมุขของครอบครัวอันมีภาระที่หนักอึ้ง….อาการอ่อนไหวก็ค่อยๆ แทรกผ่านเกราะที่เธอสร้างออกมา จนทำให้ร่างบางนั้นสั่นสะท้าน ดวงตาคู่งามมีร่องรอยของความหวาดหวั่น
“ฉัน….ฉันรู้สึกเหนื่อยจัง…เจส…ไม่รู้อะไรมันรบกวนจิตใจของฉันมาตั้งแต่ที่ซานฟรานแล้ว…”
เจสสิก้าโอบปลอบเพื่อนรัก
“ที่รัก…ทำใจให้สบายนะ…อย่าไปคิดมาก…เธออาจจะเคร่งเครียดกับงานจนเกินไป”
“ไม่รู้สิ…ทำไมฉันถึงได้อ่อนแออย่างนี้นะ…แย่จริงๆ…”
อรชากล่าวเสียงแหบ ดวงตาคู่งามนั้นมีร่องรอยแห่งความกังวลใจที่ปิดไม่มิด ความเสียวสะท้านที่จับจิตใจนั้นยังกรุ่นอยู่ไม่หาย ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องที่ปรับอากาศจนเย็นเฉียบ แต่หญิงสาวยังรับรู้ว่าที่กลางหลังนั้นมีรอยชื้นของเหงื่อที่ซึมออกมา
“ฉัน…ฉันไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป…แต่ฉันกลัวเหลือเกินนะ…เจส…กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่ฉันรักไปอีก….”
พอพูดออกมาถึงตอนนี้ น้ำตาใสๆ ก็ไหลออกมาอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ เจสสิก้าตาเบิกโพลงโอบกอดร่างของเพื่อนผู้มาจากเมืองไทยเอาไว้ ใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลอยู่บนแก้มใสนั้นอย่างอ่อนโยน
“ใจเย็นๆ…ที่รัก…คนที่ดีอย่างเธอพระเจ้าต้องคุ้มครอง”
คำพูดของเพื่อนรัก ทำให้ดวงตาคู่งามของอรชาสั่นระริก ความหวาดหวั่นขวัญเสียที่มีอยู่ในส่วนลึกนั้น พลุ่งขึ้นมาราวกับทำนบน้ำแตกสลาย ปลายจมูกที่โด่งงามแดงก่ำขึ้นทันที ทำให้เสียงพูดนั้นขึ้นจมูก
“เธอยังจำได้ไหม…เจส..คืนนั้น…คืนก่อนที่ข่าวร้ายจะมาถึงฉัน…เรามีปาร์ตี้เล็กๆ กัน ฉันมีความสุขเหลือเกิน…จนกระทั่งฉันฝันร้ายและตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก…นั่งร้องไห้…เธอก็ปลอบฉันเหมือนวันนี้…แต่แล้ว…แต่แล้ว…วันรุ่งขึ้น…วันรุ่
งขึ้น…”
อรชาร้องไห้ออกมา ยังจำได้ติดตา…วันนั้นเป็นวันที่ฟ้าหม่น เธอตื่นมาอย่างอ่อนระโหย ดวงตาบอบคล้ำเพราะตื่นตามาตลอดคืน ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแบบไร้ซึ่งความสุขเบิกบานแจ่มใสที่เคยมีตลอดทั้งวัน และจนในที่สุด…ข่าวร้ายก็ถูกส่งมาจากเมืองไทย…บิดาเธอประสบอุบัติเหตุร้ายแรง…
ใบหน้างามของเพื่อนสาวผมทองสลดลง…ใช่…ทำไมเธอจะจำไม่ได้…ช่วงหัวค่ำ..พวกเธอยังสนุกสนานกับการยั่วเย้าเพื่อนสาวถึงของขวัญที่ได้รับมาจากเมืองไทย…แต่
ตกดึก…อรชาในวันนั้นนั่งร้องไห้ตัวสั่นเหมือนกับวันนี้…แต่เจสสิก้าก็ยังพยายามปลอบใจ
“ที่รัก…ไม่เอาน่า…อย่าทำร้ายตัวเองด้วยความกังวลอีกเลย..”
อรชายพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ ริมฝีปากงามสั่นระริก ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่ได้แต่เก็บกักเอาไว้ภายในแต่เพียงผู้เดียวระเบิดออกมา เสียงของหญิงสาวสั่นสะท้าน ขาดห้วงเป็นระยะ…
“ฉัน…ฉันทนไม่ไหวแล้วเจส…ฉันจะไม่ยอมสูญเสียคนที่ฉันรักอีก…เธอรู้ไหมฉันรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ซานฟราน…และวันนั้นน้องสาวของฉัน…นุช
…เขาประสบอุบัติเหตุขับรถชนข้างทาง…ตอนนั้น…ฉันคิดว่าต้นเหตุแห่งความไม่สบายใจนั้นมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว…แต่จริงๆ…ไม่ใช่…ความรู้สึกนั้นมันยังวนเว
ียนอยู่รอบๆ…ฉัน…ฉัน…ทนไม่ไหวแล้ว…ฉันต้องกลับแล้วล่ะ…เจส…ฉันต้องกลับเมืองไทย….ฉันจะไม่ยอมให้ชะตากรรมมาพรากคนที่ฉันรักไปจากฉันอีกแล้ว…ฉัน
ไม่ยอม…ไม่มีวันยอม…”
เจสสิก้าโอบปลอบเพื่อนรักที่ใบหน้าพรั่งพรูน้ำตาออกมาอย่างเนืองนองด้วยความสงสารจับใจ
“แต่…เธอยังมีงานต้องทำไม่ใช่หรือจ๊ะ…ที่รัก”
อรชาชะงักไปวูบหนึ่ง ตระหนักดีว่าการเจรจากับคู่ค้าในระดับนี้ การรักษาเวลาและมาตรรฐานของข้อตกลงเป็นสิ่งที่ถือสา มันจะไม่มีทางเป็นผลดีกับความร่วมมือในอนาคตเลยถ้าเธอมาเปลี่ยนแปลงกำหนดการกระทันหันโดยไม่มีสาเหตุอันควร…
“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนที่ฉันรักหรอก…เจส…ฉันจะกลับ…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
หญิงสาวตกลงใจแล้ว ใบหน้างามนั้นมีแววตาที่มุ่งมั่น
“เอาเถอะ…แคธี่…”
เพื่อนรักของหญิงสาวยิ้มปลอบใจ กล่าวเสียงอ่อนหวานพลางยกมือตบอก
“ถึงเพื่อนคนนี้จะทำอะไรให้เธอได้ไม่มาก…แด๊ดดี้ของฉันเขาสนิทกับ CEO ของเพนนินซูล่าดี…จะให้แด๊ดช่วยรับรองให้ว่าเธอมีธุระจำเป็นจริงๆ…ไม่ต้องห่วงนะ…รีบกลับไปเถอะ”
อรชายิ้มออกมาทั้งน้ำตา กอดเพื่อนที่เธอรักที่สุดเอาไว้ พึมพำ
“ขอบใจมากนะ…เจส…ขอบใจมาก”
เจสสิก้าโอบกอดตอบ กระซิบที่ข้างหูขาวใส
“ทำใจให้สบายนะ…แคธี่…เชื่อฉัน…พระเจ้าต้องคุ้มครองเธอ…ในท้ายที่สุดทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดี…”
“ฉันก็หวังเช่นนั้น….เจส”
ประโยคสุดท้าย…อรชาคำนึงในใจ….เธอหวังเช่นนั้นจริงๆ…

1 comment:

  1. ฝากติดตามภาคต่อที่ผมแต่งใหม่ให้กับ เล่ห์สวาทเพลิงราคะ ซึ่งต้นฉบับยังแต่งไม่จบครับ ในชื่อเรื่องว่า "บ่วงกามสามดรุณี" เขียนจบแล้วในรูปแบบ อีบุ๊ค และอ่านแบบเติมเงิน(บางตอนอ่านฟรี)

    https://www.readawrite.com/a/0b371155f3b746da2d17781e60681592

    https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjA3NTA0MCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExNDkyNyI7fQ

    ReplyDelete